简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
พาไปเจาะลึก"วัฏจักรตลาด "ที่นักเทรดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
บทคัดย่อ:บทความนี้นำเสนอเกี่ยวกับ "วงจรของตลาด" ซึ่งมีความสำคัญต่อการเทรด โดยแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การสะสม, การมาร์กอัป, การกระจาย และการมาร์กดาวน์ การทำความเข้าใจแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวัฏจักรตลาดในประเภทต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาที่ขับเคลื่อนวัฏจักรนี้ เทรดเดอร์สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สวัสดีครับ นักเทรดทุกท่าน! แอดเหยี่ยวมีเรื่องเด็ดมาเล่าเกี่ยวกับ “วงจรของตลาด” ที่เป็นหัวใจสำคัญของการเทรด ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรือกราฟสวยๆ แต่มันคือโอกาสและความเสี่ยงที่ต้องเจอทุกวัน บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักช่วงสำคัญของวัฏจักรตลาด วิธีการที่มันปรากฏในเวทีการซื้อขาย และเทคนิคการใช้ประโยชน์จากรูปแบบที่คาดการณ์ได้ เพื่อคว้าโอกาสและรับมือกับความเสี่ยงให้ช่ำชองกว่าเดิม
สี่ขั้นตอนของวัฏจักรตลาด

ขอบคุณรูปจาก thaifrx
วัฏจักรตลาดโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอนหลัก: การสะสม, การมาร์กอัป, การกระจาย และการมาร์กดาวน์ การเข้าใจแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในตลาดได้
- การสะสมในขั้นตอนนี้ นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญจะเริ่มซื้อสินทรัพย์ โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะทรงตัวหรือภาวะหมี ซึ่งราคายังต่ำและความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปมีน้อย ปริมาณการซื้อขายก็มักจะเบาบาง ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการสะสมสินทรัพย์อย่างเงียบๆ
- การมาร์กอัปหลังจากการสะสม ราคาจะเริ่มขยับขึ้น ขั้นตอนนี้จะเห็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงการได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากขึ้น เทรดเดอร์จำนวนมากเริ่มเข้าสู่ตลาดในช่วงนี้ เนื่องจากมองเห็นสัญญาณของตลาดกระทิง ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และดัชนี RSI มักจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้น ช่วงนี้ในกราฟวัฏจักรตลาดอาจแสดงการครอสโอเวอร์ระหว่างเส้น EMA ของช่วง 21 และ 50 วัน ชี้ถึงแนวโน้มกระทิงที่ชัดเจน
- การกระจายเมื่อการมาร์กอัปถึงจุดสูงสุด วัฏจักรจะเข้าสู่ช่วงการกระจาย ในขั้นตอนนี้ นักลงทุนที่ซื้อสินทรัพย์มาตั้งแต่แรกจะเริ่มทยอยขายเพื่อทำกำไร ราคามักจะเคลื่อนไหวไปด้านข้าง ทำให้ดูคล้ายกับช่วงมาร์กอัปต่อเนื่อง แต่ปริมาณการซื้อขายจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีทั้งการซื้อและขายเกิดขึ้นในระดับสูง
- การมาร์กดาวน์ขั้นตอนสุดท้ายคือการมาร์กดาวน์ ซึ่งราคาสินทรัพย์จะลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่เข้าสู่ตลาดล่าช้าอาจประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก การลดลงนี้จะดำเนินไปจนกว่าสินทรัพย์จะมีการประเมินมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง จึงเริ่มเข้าสู่รอบการสะสมใหม่อีกครั้ง
วัฏจักรของตลาดในตลาดต่างๆ
การทำความเข้าใจวัฏจักรตลาดเป็นสิ่งสำคัญในทุกประเภทของตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงินดิจิทัล วัฏจักรเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะและระยะเวลาที่แตกต่างกันไปตามแต่ละตลาด
- วัฏจักรในตลาดหุ้น

ขอบคุณรูปจาก thaifrx
ตลาดหุ้นมักแสดงวัฏจักรที่ชัดเจนที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและครอบคลุม วัฏจักรในตลาดหุ้นมักสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจและอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี ระยะการสะสมมักเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอย หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ราคาหุ้นจะเริ่มเพิ่มขึ้น (มาร์กอัป) ส่วนการกระจายและมาร์กดาวน์มักเกิดขึ้นระหว่างการชะลอตัวหรือหดตัวทางเศรษฐกิจ
- วัฏจักรในตลาดฟอเร็กซ์

ขอบคุณรูปจาก thaifrx
ตลาดฟอเร็กซ์ซึ่งเน้นการซื้อขายคู่สกุลเงิน มีวัฏจักรที่ได้รับอิทธิพลจากตัวชี้วัดและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น การเติบโตของ GDP และการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย วัฏจักรในตลาดนี้มักมีระยะเวลาสั้นกว่า บางครั้งใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือน ทำให้การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ
- วัฏจักรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

ขอบคุณรูปจาก thaifrx
วัฏจักรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน และสินค้าเกษตร มักเชื่อมโยงกับอุปสงค์และอุปทาน ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงขึ้นเมื่อเกิดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (มาร์กอัป) และลดลงเมื่อมีการเพิ่มเส้นทางอุปทานใหม่ (มาร์กดาวน์)
- วัฏจักรในตลาดสกุลเงินดิจิทัล

ขอบคุณรูปจาก thaifrx
ตลาดคริปโตมีลักษณะเฉพาะเนื่องจากมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันและมีความผันผวนสูง วัฏจักรมักเริ่มต้นด้วยการสะสมหลังจากราคาลดลงอย่างหนัก ในช่วงที่ความเชื่อมั่นอยู่ในเชิงลบ การมาร์กอัปในตลาดนี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งกินเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงการกระจายและมาร์กดาวน์อย่างรวดเร็ว
แรงผลักดันเบื้องหลังวัฏจักรของตลาด
วัฏจักรของตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของนักลงทุน การเข้าใจแรงผลักดันเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าแก่ผู้เข้าร่วมตลาดและช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตของ GDP, อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดวัฏจักรของตลาด ตัวอย่างเช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง ต้นทุนการกู้ยืมจะถูกลง ส่งผลให้การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ดูน่าสนใจมากขึ้น จึงเกิดระยะสะสมขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงจะมีเสน่ห์น้อยลง นักลงทุนจึงมักขายออกเพื่อปกป้องผลกำไร ทำให้เกิดระยะการกระจายตัวและมาร์กดาวน์ตามมา
- ปัจจัยทางจิตวิทยาความเชื่อมั่นของนักลงทุนส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมการขึ้นลงของตลาด แนวคิดอย่างเช่น วัฏจักร 7 ปีของตลาดหุ้น แม้จะยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน แต่ก็สร้างผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุนได้ โดยเชื่อว่าการเกิดวิกฤตทางการเงินมักจะวนเวียนมาในทุกๆ เจ็ดปี ความเชื่อเช่นนี้อาจทำให้นักลงทุนรู้สึกกังวลและระมัดระวังตัวมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงกรอบเวลานั้น ปัจจัยทางจิตวิทยาดังกล่าวบางครั้งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่อิงกับความรู้สึกและการคาดการณ์ มากกว่าสภาวะทางเศรษฐกิจจริงๆ ซึ่งสามารถกลายเป็น “คำทำนายที่ตอบสนองในตนเอง” ส่งผลให้พฤติกรรมการซื้อขายมีความผันผวนยิ่งขึ้น
ผู้ค้าใช้วัฏจักรของตลาดเพื่อประโยชน์ของตนอย่างไร
เทรดเดอร์ใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฏจักรของตลาดเพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมในแต่ละระยะ โดยใช้ประโยชน์จากลักษณะเฉพาะของวัฏจักรเพื่อเพิ่มผลกำไรสูงสุดและลดความเสี่ยง ต่อไปนี้คือวิธีที่พวกเขานำไปใช้:
- การเปิดสถานะซื้อในระยะสะสมในช่วงการสะสม เทรดเดอร์มักจะเปิดตำแหน่งซื้อ โดยเลือกซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เนื่องจากคาดหวังว่าราคาจะปรับขึ้นในระยะมาร์กอัป พวกเขามองหาสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม เช่น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย หรือสัญญาณเชิงบวกจากตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI หรือ MACD แพลตฟอร์มการซื้อขายต่างๆ เช่น TickTrader ของ FXOpen ให้เครื่องมือเหล่านี้ เพื่อช่วยจดจำวัฏจักรและใช้ประโยชน์จากช่วงการสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ขี่คลื่นมาร์กอัปในระยะมาร์กอัป เทรดเดอร์จะใช้กลยุทธ์ที่อิงกับแนวโน้มเพื่อเกาะกระแสการขึ้นของราคา ตัวอย่างเช่น การใช้กลยุทธ์ครอสโอเวอร์ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ซึ่งสามารถช่วยระบุโมเมนตัมและชี้ให้เห็นถึงจุดเข้าซื้อในตลาดขาขึ้น
- การขายชอร์ตในระยะการกระจายการรู้จักช่วงการกระจายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำกำไรจากการลดลงของราคา เทรดเดอร์อาจใช้กลยุทธ์การขายชอร์ตเพื่อเก็งกำไรจากการปรับราคาลง โดยใช้สัญญาณจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น การครอสโอเวอร์จากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง เพื่อยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงและทำการเปิดสถานะขาย
- การป้องกันความเสี่ยงในระยะมาร์กดาวน์เมื่อเข้าสู่ช่วงมาร์กดาวน์ เทรดเดอร์จะเน้นไปที่กลยุทธ์ตามแนวโน้มที่เน้นการขาลง และใช้การป้องกันความเสี่ยงเพื่อจำกัดการสูญเสีย พวกเขามองหาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมในการเข้าสู่ตลาดขาลง และอาจใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง เช่น การตั้งค่า Stop Loss เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุน
ขอบคุณข้อมูลจาก thaifrx
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
อ่านเพิ่มเติม

อยากเป็นเทรดเดอร์เต็มตัว แต่ก่อนจะลาออกชาวออฟฟิศต้องทำสิ่งนี้!!
ก่อนจะลาออกจากงานประจำเพื่อเป็นเทรดเดอร์เต็มตัว สิ่งสำคัญคือต้องเตรียมความพร้อมทางการเงินและเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถรับมือความเสี่ยงในตลาดได้อย่างมั่นใจ สิ่งที่ควรทำได้แก่ การเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 6–12 เดือน ใช้สิทธิ์ประกันสังคมและเงินชดเชยว่างงาน จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างเหมาะสม ขอคืนเงินประกันการทำงาน และเก็บเอกสารสำคัญจากนายจ้างให้ครบ การเตรียมตัวเหล่านี้ช่วยให้การก้าวสู่ชีวิตเทรดเดอร์เต็มเวลาราบรื่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น

"ค่า Spread คือดาบสองคม"สิ่งที่มือใหม่ต้องระวังก่อนเทรดจริง
บทความนี้อธิบายความสำคัญของค่า Spread ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่นักเทรดต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ในตลาด Forex แม้จะเป็นตัวเลขเล็ก ๆ แต่มีผลโดยตรงต่อกำไร โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้กลยุทธ์ที่ต้องเปิด–ปิดออเดอร์บ่อยอย่าง Scalping หรือ Day Trading ค่า Spread ที่สูงสามารถลดทอนผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ นักเทรดมือใหม่จึงควรให้ความสำคัญในการเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำ ระวังช่วงตลาดผันผวนที่ Spread อาจขยายตัว และนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาคำนวณรวมในระบบบริหารความเสี่ยง บทความสรุปว่า การเข้าใจและจัดการ Spread อย่างถูกต้องจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการเทรด และเสริมความมั่นใจในการทำกำไรในตลาด Forex

ฟอเร็กซ์ vs หุ้น ความเสี่ยงตัวไหนแรงกว่า? เจาะลึกด้วยหลัก Money Management
บทความนี้อธิบายความเสี่ยงของการลงทุนในตลาด Forex และตลาดหุ้น โดยชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการใช้ Leverage การบริหารเงิน และวินัยของเทรดเดอร์เป็นหลัก Forex ถูกจัดว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากความผันผวนรวดเร็วและ Leverage สูง ขณะที่หุ้นมีความผันผวนต่ำกว่าและควบคุมความเสี่ยงได้ง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม หากมีระบบ Money Management ที่ดี Forex ก็สามารถลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสได้เช่นกัน สรุปคือ การเลือกตลาดควรพิจารณาจากสไตล์และวินัยของผู้ลงทุนมากกว่าตัวตลาดเอง.

เช็กปฏิทินข่าวสำคัญประจําสัปดาห์! มีเหตุการณ์อะไรน่าติดตามบ้าง
ปฏิทินข่าว Forex และเหตุการณ์สำคัญประจําสัปดาห์
WikiFX โบรกเกอร์
JustMarkets
STARTRADER
fpmarkets
GTCFX
FXCM
VT Markets
JustMarkets
STARTRADER
fpmarkets
GTCFX
FXCM
VT Markets
WikiFX โบรกเกอร์
JustMarkets
STARTRADER
fpmarkets
GTCFX
FXCM
VT Markets
JustMarkets
STARTRADER
fpmarkets
GTCFX
FXCM
VT Markets
